[REVIEW] ‘Meg 2 : The Trench’ ภาคต่อที่บันเทิงแบบปล่อยจอย อัดแน่นด้วยฉลามยักษ์ | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Meg 2 : The Trench’ ภาคต่อที่บันเทิงแบบปล่อยจอย อัดแน่นด้วยฉลามยักษ์ | GOSSIP GUN

03 ส.ค. 2023

ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีก่อน The Meg กลายเป็นหนังฉลามที่กวาดรายได้ไปแบบเหนือความคาดหมาย ด้วยรายได้ระดับ 500 ล้านเหรียญฯจากทั่วโลก อยู่ๆก็กลายเป็นหนังฉลามที่ทำเงินทั่วโลกสูงสุดตลอดกาลแซง Jaws ไปเป็นที่เรียบร้อย แม้ว่าถ้าจะเทียบกันจริงๆ โดยเอาค่าตั๋วมาดู ก็ยังคงแพ้ Jaws แต่ถ้านับแค่รายได้ ก็เลยชนะไปซะงั้น ทำให้โปรเจกต์ภาคต่อถูกอนุมัติในเวลาไม่นาน และที่น่าสนใจคือ กลายเป็นประเทศจีนที่เป็นประเทศที่ The Meg ภาคแรกทำเงินมากที่สุด ราวๆ 150 ล้านเหรียญฯ แซงอเมริกาที่ทำเงินไปแถวๆ 143 ล้าน จึงไม่แปลกใจเลยที่ภาคต่อนี้ ทางวอร์เนอร์เลยได้ไประดมทุน จับมือกับสตูดิโอในเมืองจีน แถมดึงพระเอกระดับบล็อกบัสเตอร์อย่าง อู๋จิง ที่ปรากฏตัวในหนังทำเงินถล่มทลายอย่าง Wolf Warrior 2, The Wandering Earth และ The Battle of Lake Changjin (ซึ่งล้วนอยู่ใน Top 10 หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลของจีน) มาร่วมแสดงประกบ เจสัน สเตแธม พระเอกจากภาคแรกที่กลับมารับบทนำในภาคต่ออีกครั้ง

Meg 2 : The Trench เล่าเรื่องราวหลายปีจากภาคแรก กับการผจญภัยครั้งใหม่ของ โจนัส (รับบทโดย เจสัน สเตแธม) ที่นำทีมนักวิจัยลงไปสำรวจร่องสมุทรที่ลึกลงไปในมหาสมุทร สถานที่ซึ่งพวกเขาเจอกับเมกาโลดอน หรือฉลามยักษ์ดึกดำบรรพ์ในภาคแรก ไม่นานอันตรายก็เริ่มเข้าใกล้ เมื่อเมกาโลดอนที่พวกเขาขังเอาไว้เพื่อวิจัยกลับหลุดออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ แถมยังมีเมกาโลดอนตัวอื่นโผล่ออกมา รวมถึงพวกเขากำลังจะได้พบกับ โครโนซอรัส สัตว์ลึกลับดึกดำบรรพ์ชนิดใหม่ที่ปรากฏอยู่ใต้ทะเล กลายเป็นจากภารกิจสำรวจใต้ทะเลลึก พวกเขาต้องเอาตัวรอดจากสิ่งมีชีวิตสุดอันตราย ที่ไม่ใช่แค่ทวีจำนวนมากขึ้น แต่เพิ่มความหลากหลายและอันตรายมากขึ้นด้วย หนังภาคนี้ได้ อู๋จิง มารับบทนำประกบกับ เจสัน ในบทจิวหมิง น้องชายของนางเอกจากภาคแรก

โดยรวมภาคนี้ มันไปไกลกว่าแค่หนังฉลามแล้ว ดูจะเป็นหนังมอนสเตอร์ที่เน้นสัตว์ประหลาดจากใต้ทะเลลึกเสียมากกว่า จากภาคแรกที่เป็นหนังฉลามแบบติดเว่อร์นิดๆ เพราะเน้นไซส์ที่มโหฬารและที่มาจากดึกดำบรรพ์ แต่ภาคนี้เหมือนกำลังจะตั้งท่าขยายจักรวาลให้ใหญ่โตขึ้น นอกจากเมกาโลดอน ผู้ชมเลยจะได้เจอกับสัตว์ประหลาดจากใต้ทะเลอีกหลายตัว เหมือนกับผู้สร้างเตรียมจะขยายจักรวาลเป็น Sea-Monsterverse อะไรทำนองนั้น ซึ่งมันก็ช่วยทวีความน่าสนใจให้กับหนังมากขึ้นในอีก ในฐานะภาคต่อที่ทั้งขยายเส้นเรื่องและเพิ่มปริมาณเหล่ามอนสเตอร์ให้มากยิ่งขึ้น ใครที่ชอบหนังสัตว์ประหลาดน่าจะสนุกและคุ้มค่ากับการมาดูอยู่ไม่น้อย

ในขณะเดียวกันสิ่งที่แอบเปลี่ยนไปเล็กน้อยคือ Mood & Tone ของหนัง ซึ่งแน่นอนว่ามันยังเป็นหนังแอ็กชันตื่นเต้น แต่ภาคนี้แอบปรับอารมณ์ให้ไม่โหดหรือซีเรียสเท่าเดิม เน้นให้หนังดูเป็นมิตรกับผู้ชมกลุ่มครอบครัวมากขึ้น ยกระดับความแฟนตาซีเพิ่มเข้าไปอีก แทนที่หนังจะขยับเข้าหาหนังสไตล์ Jaws แต่กลับขยับมาใกล้หนังแบบ Jurassic World เสียมากกว่า ซึ่งตรงนี้เองน่าจะเปิดโอกาสให้หนังทำเงินได้มากขึ้น รวมไปถึงเหมาะกับการเจาะตลาดจีนที่ภาคแรกกวาดเงินถล่มทลายไปแล้ว แต่แม้จะไม่ได้โหดเลือดสาดเท่าไหร่นัก แต่ฉากแอ็กชันต่างๆก็ยังทำออกมาได้ตื่นเต้น เร้าใจ และเว่อร์ขึ้นไปอีกสเต็ป เหมือนผู้สร้างจับทางได้แล้วว่าผู้ชมชอบสไตล์ไหน ก็จัดให้แบบนั้นอย่างไม่ยั้ง

สรุป Meg 2 : The Trench ถือเป็นหนังภาคต่อที่เข้าที่เข้าทางกว่าภาคแรก ยังคงความสนุกแบบดูเพลินได้ตลอดทั้งเรื่อง และทวีคูณหลายๆอย่างเข้าไป ทั้งในแง่ของสัตว์ประหลาด รวมถึงตัวละครฮีโร่ จากเดิมที่ภาคแรกเน้นความเท่ของ เจสัน สเตแธม ภาคนี้พอใส่ อู๋จิง เข้ามา เหมือนเจสันได้คู่หูมาร่วมแท็กทีม ยิ่งทำให้ฝั่งมนุษย์ดูน่าสนใจมากขึ้นไปอีก และไม่แน่อีกหน่อย อาจจะมีการต่อยอดสร้างเป็นภาคแยกฉบับจีนเลยก็เป็นอันได้ เพราะปกติหนังของ อู๋จิง ก็ทำเงินแบบถล่มทลายที่นั่นอยู่แล้ว อีกหน่อยเราคงได้เห็นหนังตระกูล Meg ที่มากขึี้นและหลากหลายขึ้นเป็นแน่แท้

 

ชมตัวอย่าง Meg 2 : The Trench วันนี้ในโรงภาพยนตร์

 

ภาพ : Warner Bros. Thailand

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Ant-Man and The Wasp : Quantumania’ เปิดเฟสใหม่อย่างตื่นตา พร้อมกับวายร้ายที่โคตรสะพรึง| GOSSIP GUN

21 ก.พ. 2023

[REVIEW] ‘Ant-Man and The Wasp : Quantumania’ เปิดเฟสใหม่อย่างตื่นตา พร้อมกับวายร้ายที่โคตรสะพรึง| GOSSIP GUN

หลังจากเหล่าอเวนเจอร์สสามารถโค่นทานอสไปได้ในหนัง Avengers ภาคล่าสุด เป็นการปิดหนัง MCU ในพาร์ทของ The Infinity Saga ไปได้อย่างสวยงาม ถึงเวลาแล้วที่แฟนๆและคอหนัง จะได้ทำความรู้จักตัวร้ายหลักประจำเส้นเรื่องใหม่อย่างThe Multiverse Saga นั่นก็คือ แคงผู้พิชิต ที่จะปรากฏตัวเป็นครั้งแรกใน Ant-Man and The Wasp : Quantumania ซึ่งนอกจากหนังจะทำหน้าที่ปิดไตรภาคของ แอนท์-แมน เองแล้ว ยังถือว่าเป็นหนังเรื่องแรกใน MCU เฟส 5 อีกด้วย ที่นอกจากจะสำรวจพหุจักรวาลให้ลึกขึ้น หนังยังทำหน้าที่ปูไปยังปมใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในจักรวาลนี้ ซึ่งจะถูกปิดท้ายด้วยหนัง Avengers : The Kang Dynasty และ Avengers : Secret Wars ที่จะออกฉายใน 2-3 ปีข้างหน้าเรื่องราวใน Ant-Man and The Wasp : Quantumania เริ่มต้นขึ้น เมื่อแคสซี่ ลูกสาวของ สก็อตต์ แลง ที่ประดิษฐ์เครื่องมือในการส่งสัญญาณเพื่อติดต่อกับในมิติควอนตั้มขึ้น โดยที่เธอไม่รู้เลยว่า นั่นคือจุดเริ่มต้นของวิกฤตครั้งใหม่ จากสิ่งประดิษฐ์นี้ ทำให้ สก็อตต์, โฮป, แคสซี่, ดร.แฮงค์ และเจเน็ต ถูกดูดเข้าไปในมิติควอนตั้ม ซึ่งสร้างความหวาดผวาอย่างมากให้กับ เจเน็ต เพราะเธอเคยถูกขังอยู่ในมิตินี้ นานกว่า 30 ปีกว่าจะออกไปได้ และเธอรู้ดีว่า อันตรายอะไรที่กำลังคืบคลานมาหาพวกเขา ทั้ง 5 จึงต้องทำทุกทางเพื่อหาทางออกไปจากที่นั่นให้เร็วที่สุด พร้อมกับหยุดยั้งบุคคลอันตราย ที่พยายามทำทุกทางเพื่อออกไปจากมิตินี้เช่นกัน..หากเทียบกับหนังในตระกูล Ant-Man ทั้งสองภาคก่อนหน้านี้ Ant-Man and The Wasp : Quantumania ถือเป็นภาคที่ดูจะมีMood Tone ที่แตกต่างจากเดิมค่อนข้างมาก แม้ว่ายังคงมีอารมณ์ขัน และโครงเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัวอยู่ แต่เพราะเหตุการณ์ในเกือบทั้งเรื่อง เกิดขึ้นในมิติควอนตัม งานภาพของภาคนี้ จึงดูแตกต่างจากภาคก่อนๆไปอย่างสิ้นเชิง ดูคล้ายหนังอย่าง Doctor Strange ภาคล่าสุด ซึ่งถือว่าเป็นหนังที่มีบทบาทสำคัญใน The Multiverse Saga เช่นเดียวกัน แต่ในขณะเดียวกัน แม้ว่างานโปรดักชั่นของ Ant-Man and The Wasp : Quantumania จะดูยิ่งใหญ่กว่าภาคก่อนๆ แต่ด้วยความยาวเพียง 2 ชั่วโมง ทำให้หนังอาจจะดูไม่ยิ่งใหญ่เท่า Doctor Strange In The Multiverse of Madness หรือBlack Panther : Wakanda Forever แต่กระนั้น มันก็มีข้อดีอย่างชัดเจน คือหนังสั้น ทำให้ค่อนข้างกระชับ และเดินเรื่องฉับไว หนังแทบจะไม่เสียเวลาตรงไหนที่ไม่จำเป็นกับเรื่องเลยจุดที่โดดเด่นมากๆของหนังภาคนี้ กลับไม่ใช่ครอบครัวของ แอนท์-แมน แต่เป็นการปรากฏตัวของ แคงผู้พิชิตเสียมากกว่า ซึ่งการแสดงของ โจนาธาน เมเจอร์ส นั้น ชวนขนลุกและน่าเกรงขามมากๆ ตั้งแต่สีหน้า ท่าทาง หรือแม้แต่น้ำเสียงที่ดูแสนจะเลือดเย็น ตั้งแต่วินาทีที่แคงปรากฏตัวบนจอ ดูเหมือนหนังจะถูกขโมยไปเป็นหนังของเขาเลยทีเดียว และตลอดเวลาที่ดู ผู้ชมสามารถสัมผัสได้ทันทีว่า นี่ไม่ใช่ตัวร้ายธรรมดาทั่วไป นี่เป็นตัวร้ายที่บางทีอาจจะเก่งเกินกว่าที่ แอนท์-แมน จะสามารถโค่นได้ Ant-Man and The Wasp : Quantumania จึงทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมในฐานะหนังเปิดเฟส 5 ของจักรวาลมาร์เวล ซึ่งดูแล้ว ความสามารถของแคง และเจตนารมณ์อันน่าสะพรึงนั้น สามารถเป็นแกนหลักให้กับ The Multiverse Saga ได้อย่างสบายๆในส่วนของครอบครัวแอนท์-แมน เอง ภาคนี้ก็ยังคงยึดในความรักและความผูกพันอย่างชัดเจน ยังคงตอกย้ำภาพลักษณ์ของหนัง Ant-Man ที่ดูจะเป็นหนังครอบครัวมากกว่าหนังซูเปอร์ฮีโร่ตัวอื่นๆใน MCU แต่ตัวละครที่โดดเด่นในภาคนี้มากที่สุด ต้องยกให้บท เจเน็ท ที่ มิเชลล์ ไฟเฟอร์ แสดงไว้ได้อย่างชวนขนลุก เนื่องจากตัวละครของเธอ เคยถูกขังอยู่ในมิติควอนตัมมาแล้ว ทำให้เจเน็ท ขยับขึ้นมามีบทบาทสำคัญในหนังภาคนี้ และนั่นเปิดโอกาสให้นักแสดงรุ่นใหญ่ได้โชว์ฝีมือการแสดงได้อย่างเต็มที่ กับบทที่มีมิติและความซับซ้อนทางอารมณ์มากขึ้น แต่ไฮไลต์สำคัญสำหรับใครที่เติบโตมาในยุค 90s คือการที่ตัวละครของ มิเชลล์ ไฟเฟอร์, ไมเคิล ดักกลาส และสมาชิกใหม่ของภาคนี้อย่าง บิล เมอร์เร่ย์ ปรากฏตัวพร้อมกัน เป็นฉากที่ชวนย้อนระลึกความหลังได้อย่างดี ถึงความยิ่งใหญ่ในยุคสมัยนั้นโดยรวมแล้ว Ant-Man and The Wasp : Quantumania สามารถจัดเข้ากลุ่มหนังใน MCU ที่สามารถดูได้เพลินๆ ความสนุกอยู่ในระดับปานกลาง อาจจะไม่ได้เข้มข้นหรือบีบอารมณ์ผู้ชมเท่าหลายๆเรื่อง แต่กระนั้น หนังเรื่องนี้ต้องถือว่ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการก้าวต่อของ จักรวาลมาร์เวลเฟสใหม่ ทำให้หนังดูเหมือนจะทำหน้าที่เป็นหนังเปิดเฟสใหม่ มากกว่าหนังปิดไตรภาคของเส้นเรื่อง Ant-Man เอง สำหรับแฟนของมาร์เวลเอง น่าจะมีหลายจุดในหนังที่ทำให้ร้องว้าว นับตั้งแต่การปรากฏตัวของแคง ไปจนถึงฉากแถมระหว่างและหลังจบ End-Credit ที่ในเรื่องนี้มีแถมให้ถึง 2 ฉาก และต่างเป็นซีนที่สำคัญ เพื่อก้าวสู่สเต็ปต่อไปของจักรวาลมาร์เวลชมตัวอย่าง Ant-Man and The Wasp : Quantumania วันนี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘The Menu’ หนังเขย่าขวัญเสิร์ฟเมนูสยอง ระทึก ร้ายกาจ คาดเดาไม่ได้ | GOSSIP GUN

18 พ.ย. 2022

[REVIEW] ‘The Menu’ หนังเขย่าขวัญเสิร์ฟเมนูสยอง ระทึก ร้ายกาจ คาดเดาไม่ได้ | GOSSIP GUN

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคุณเดินทางไปยังภัตตาคารสุดหรู เพื่อรับประทานอาหารแบบ Fine Dining แต่แล้ว เมื่อดินเนอร์เริ่มเสิร์ฟ ทุกอย่างรอบตัวคุณค่อยๆผิดปกติ และสถานการณ์เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ จนนี่อาจจะเป็นดินเนอร์มื้อสุดท้ายของคุณ นี่คือพล็อตคร่าวๆของ The Menu หนังเขย่าขวัญตลกร้าย ซึ่งนอกจากเรื่องราวอันแสนจะยั่วยวนให้แฟนหนังไปชมในโรงภาพยนตร์แล้ว หนังยังมีไฮไลต์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นชื่อชั้นของ 3 นักแสดงนำอย่าง อันยา เทย์เลอร์-จอย, นิโคลัส โฮลต์ และ เรล์ฟ ไฟนส์ และเครดิตของทีมโปรดิวเซอร์ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ อดัม แมคเคย์ และวิลล์ ฟาร์เรล ที่สร้างหนังตลกแสบสันอย่าง Don't Look Up และซีรีส์สุดร้ายกาจอย่าง Succession มาแล้ว ส่วนผู้กำกับ มาร์ก มายลอด ก็เคยกำกับหลายเอพพิโซดของSuccession ดังนั้น ถ้าใครเคยดูซีรีส์มา ก็น่าจะพอเดาอารมณ์ออก ว่าหนังจะแสบได้ถึงขนาดไหนThe Menu เล่าถึงคู่รัก มาร์โก และเทย์เลอร์ (รับบทโดย อันยา เทย์เลอร์-จอย จาก The Queen's Gambit และ นิโคลัส โฮลต์ จาก X-Men) ที่เดินทางไปยังเกาะส่วนตัว เพื่อรับประทานอาหารเย็นที่ ฮอว์ธอร์น ห้องอาหารสุดหรู ที่ราคาต่อคอร์สแพงลิบ พวกเขาเดินทางไปพร้อมกับแขกดินเนอร์มื้อเดียวกันอีกจำนวนหนึ่งที่ดูเหมือนแต่ละคน ล้วนแต่จะเป็นบุคคลระดับวีไอพี เมื่อเดินทางมาถึงทุกคนก็ได้พบกับ จูเลี่ยน สโลวิก (รับบทโดย เรล์ฟ ไฟนส์ จาก Harry Potter) เชฟชื่อดัง หัวหน้าเชฟประจำห้องอาหารแห่งนี้ ซึ่งเขาค่อยๆเสิร์ฟอาหารแต่ละจาน ที่เต็มไปด้วยไอเดียและแนวคิดสุดแปลก ก่อนที่เหล่าแขกจะค่อยๆรู้ตัวว่า ทุกอย่างกำลังผิดปกติ นี่อาจจะไม่ใช่การรับประทานไฟน์ไดนิ่งทั่วไป แต่มีอะไรชวนขนลุกแฝงอยู่ในนั้นระหว่างที่ผู้ชมได้ดูหนัง The Menu ก็เหมือนกับผู้ชมได้เข้าไปนั่งอยู่ในห้องอาหารเดียวกับตัวละคร มันเริ่มต้นจากการเป็นหนังที่ดูเหมือนหนังทั่วไป ไม่ได้มีอะไรแปลกประหลาด จนกระทั่งอาหารจานต่างๆค่อยๆเสิร์ฟ ผู้ชมจะได้เริ่มสัมผัสถึงความผิดปกติอะไรบางอย่าง บรรยากาศความไม่น่าไว้วางใจค่อยๆครอบคลุมไปทั่วในหนังเรื่องนี้ ระดับความเป็นหนังเขย่าขวัญค่อยๆเพิ่มขึ้น เจือปมด้วยรสชาติแบบหนังตลกร้าย เสียดสีสังคมในแง่มุมต่างๆ แฝงด้วยความคิด เหมือนกับตัวละครที่กำลังขบคิดไอเดียที่แฝงอยู่ในอาหารแต่ละคอร์ส ผู้ชมก็ขบคิดไปเช่นกันว่า หนังจะสื่อสารถึงอะไร The Menu จึงเป็นหนังที่มีส่วนผสมค่อนข้างเฉพาะตัว รวมความเป็นหนังตลกร้ายกับเขย่าขวัญไว้ด้วยกันอย่างน่าลิ้มลอง ช่วงแรกอาจจะใช้เวลานานในการปูเรื่องราว แต่เมื่อเรื่องดำเนินไป หนังก็ค่อยๆไต่ระดับความระทึกเพิ่มขึ้นนอกจากพล็อตที่เดาทางได้ยาก บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความไม่น่าไว้วางใจ The Menu ขับเคลื่อนไปได้ดี ด้วยทีมนักแสดงที่ชวนดึงดูด ไฮไลต์หลักของหนีไม่พ้น อันยา เทย์เลอร์-จอย และ เรล์ฟ ไฟนส์ หลายฉากที่เพียงแค่ทั้งสองเผชิญหน้ากัน ก็ชวนขนลุกไม่ไหวแล้ว สำหรับอันยาที่แจ้งเกิดมาจากหนังสยองขวัญชุดใหญ่ทั้ง The Witch, Split หรือแม้แต่หนังล่าสุดอย่าง Last Night In Soho การที่ได้เห็นเธอรับเล่นหนัง Horror/Thriller อย่างต่อเนื่อง เป็นอะไรที่ถูกใจแฟนๆมาก เธอมีเสน่ห์มากเป็นพิเศษเมื่อแสดงนำในหนังแนวนี้ และชวนให้ผู้ชมได้เอาใจช่วยอยู่เสมอ ในขณะที่ เรล์ฟ ไฟนส์ ชวนขนลุกกับบทชวนสยองเสมอมา ไล่มาตั้งแต่ Schindler's List มาจนถึงหนังอย่าง Red Dragon บทโวลเดอมอร์ในจักรวาล Harry Potter มาจนถึงบทในหนังเรื่องนี้แค่เขาแสดงสีหน้าก็น่ากลัวไม่ไหวแล้ว ยิ่งเสริมให้เรื่องชวนระทึกขึ้นไปอีกโดยรวม The Menu เป็นหนังที่รสชาติแปลกน่าลอง เหมาะสำหรับคนที่ชอบตลกแบบร้ายกาจ หนังมีประเด็นเสียดสีชนชั้นที่น่าสนใจ หลายฉากฮาอย่างเจ็บแสบ ในขณะที่สายเขย่าขวัญ แม้ว่าหนังจะไม่ได้น่ากลัวอะไรมากนัก แต่ก็อบอวลด้วยบรรยากาศชวนขนลุก ให้ตึงเครียดได้จริงๆ ผู้ชมจะได้สนุกกับการคาดเดาว่า เมนูต่อไปเชฟจะเสิร์ฟอะไร คาดเดาว่าแต่ละตัวละครซ่อนปมอะไรไว้ และหนังจะพาเราไปสู่จุดไหน ถือว่าเป็นหนังสยองแสบๆเรื่องหนึ่ง ที่ไม่อยากให้พลาดชมตัวอย่าง The Menu เมนูสยอง สัปดาห์นี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Major Group

[REVIEW] ‘Pinocchio’ ความมหัศจรรย์ครั้งใหม่ที่ไม่ซ้ำของเดิม| GOSSIP GUN

09 ก.ย. 2022

[REVIEW] ‘Pinocchio’ ความมหัศจรรย์ครั้งใหม่ที่ไม่ซ้ำของเดิม| GOSSIP GUN

เมื่อนักแสดงเจ้าของสองรางวัลออสการ์ ทอม แฮงค์ และผู้กำกับวิสัยทัศน์กว้างไกล โรเบิร์ต เซเมกคิส มาเจอกันทีไร มักเกิดความอัศจรรย์บนแผ่นฟิล์มมาโดยตลอด นับตั้งแต่ Forrest Gump (1994) ที่ชีวิตอันแสนมหัศจรรย์ได้อย่างน่าประทับใจ ต่อด้วย Cast Away (2000) หนังที่เล่าถึงชีวิตชายติดเกาะที่ไม่เหมือนใคร และ The Polar Express (2004) หนังแห่งการเฉลิมฉลองที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ซึ่งตอนนั้น แฮงค์ เหมาเล่นคนเดียวไป 6 บน จนกระทั่งล่าสุดพวกเขากลับมาเจอกันอีกครั้งในโปรเจกต์รีเมกแอนิเมชั่นคลาสสิก Pinocchioเวอร์ชั่น Live-Action หนังจากดิสนีย์สร้างฉบับการ์ตูน ผ่านมา 80 กว่าปี มีหนังพินอคคิโอมากมายหลายฉบับ แต่ หนังที่ดิสนีย์รีเมกเองนั้นยังไม่เคยมีมาก่อน จนกระทั่งตอนนี้ทอม แฮงค์ รับบท เจปเปทโต ช่างไม้ที่สร้างหุ่นเด็กผู้ชาย พินอคคิโอ ขึ้นมาจากไม้ เพื่อระลึกถึงลูกชายของเขาที่จากไปแล้ว ด้วยคำขอพรของเขา ทำให้ในค่ำคืนหนึ่ง นางฟ้าได้ปรากฏตัวขึ้น (รับบทโดย ซินเทีย อาริโว่ นักแสดง/ศิลปิน เจ้าของรางวัลแกรมมี่) และเสกให้พินอคคิโอ มีชีวิตเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป และเสกให้จิ้งหรีด คอยดูแลเขาอย่างใกล้ชิด แต่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน เมื่อวันแรกที่ เจปเปทโต ส่ง พินอคคิโอ ไปเรียนหนังสือ เขากลับถูกปฏิเสธเพียงเพราะแค่แตกต่างจากเด็กทั่วไป นำไปสู่การผจญภัย และเรียนรู้โลกกว้าง จนพินอคคิโอเข้าใจว่า อะไรกันแน่คือสิ่งที่ดีงาม อะไรคือความถูกต้องแม้ผู้ชมจะพอรู้เส้นเรื่อง หรือเคยดูหนัง Pinocchio หลากหลายฉบับมาก่อนแล้ว แต่หนังในฉบับนี้ ก็ยังสร้างความสดใหม่ให้เรื่องราวได้ ด้วยองค์ประกอบต่างๆ แม้หนังจะเริ่มต้นด้วยเส้นเรื่องที่ผู้ชมคุ้นเคย แต่เมื่อ พินอคคิโอ ออกจากบ้าน ดิสนีย์ก็ได้ค่อยๆแต่งเติม สร้างสีสันที่แปลกใหม่ จนกระทั่งนำไปสู่องก์สุดท้ายของหนัง ที่มาพร้อมกับไคลแมกซ์ และบทสรุปที่แตกต่างไปจากเดิม นอกจากเส้นเรื่องที่ไม่ซ้ำเดิมแล้ว ดิสนีย์ยังเลือกใส่ Easter Egg เกี่ยวกับดิสนีย์เองเข้ามาเบาๆ ถ้าใครสังเกตทันก็จะเห็นถึงความขี้เล่นของค่าย แต่แม้ว่าตัวบทอาจจะมีอะไรแปลกไปจากเดิม แต่หัวใจของเรื่อง Pinocchio ก็ยังอยู่อย่างครบถ้วน ยังคงให้อารมณ์สุดประทับใจกับผู้ชมได้แทบตลอดทั้งเรื่องในแง่ของงานสร้าง Pinocchio ทำออกมาได้ค่อนข้างสมูธ หลายฉากช่วงแรกๆแม้จะเล่าเรื่องแค่ในบ้านของ เจปเปทโต แต่เราก็สัมผัสได้ถึงความอัศจรรย์เล็กๆ จนกระทั่งฉากที่พินอคคิโอออกไปผจญภัยในโลกกว้าง สร้างความตื่นตาได้ดีทีเดียว อาทิ Pleasure Island ก็ออกแบบมาอย่างน่าดึงดูด หรือฉากไคลแมกซ์กลางมหาสมุทรก็ดูยิ่งใหญ่ จนแอบเสียดายนิดๆ ที่ผู้ชมทั่วโลกจะได้ดู Pinocchio ในบ้านเป็นหลัก เพราะอันที่จริงหนังมีโอกาสที่จะทำเงินได้ไม่ยากเลย ถ้าเข้าฉายในโรง และวางโปรแกรมในช่วงเทศกาลแห่งความสุข อย่าง Thanksgiving หรีือ Christmasอย่างไรก็ตาม Pinocchio ฉบับ Live-Action ก็ยังไม่ใช่หนังระดับเพอร์เฟค มีหลายๆส่วนที่ดูไม่เข้ากับหนัง อาทิ มีมุกนึงที่ตลก แต่มันดูไม่เข้ากับยุคสมัย ทำให้ผู้ชมหลุดออกมาจากหนังอยู่เหมือนกัน หรืออย่างจังหวะในการเล่า ที่ช่วงแรกก่อนที่ พินอคคิโอ จะมีชีวิตนั้น Pacing ค่อนข้างช้ามากๆ ดีไม่ดี เด็กๆหลับไปก่อนแล้ว คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้อง Skip ไปตอนที่สนุกเลย และอีกพาร์ทที่หนังยังแอบไม่ชัดเจนนิดๆ คือการที่ให้บางฉากตัวละครพูดบทเป็นบทกลอน บางฉากก็ร้องเพลงออกมาเลย บางฉากเหมือน ทอม แฮงค์ จะร้องเพลงแต่ก็ไม่ร้อง มันเลยดูเหมือนจะกั๊กๆ จะเป็นหนังมิวสิคัลเลยก็ไม่ถึงขนาดนั้น จะเป็นหนังกวีก็ยังไม่ใช่ เป็นส่วนผสมที่ยังแปร่งๆ ไม่ลงตัวเท่าไหร่ท้ายที่สุด Pinocchio ฉบับใหม่ ก็อาจจะยังไม่ใช่การคอลแล็ปที่ดีที่สุดของ ทอม แฮงค์ และโรเบิร์ต เซเมกคิส ในขณะเดียวกัน ถ้าจัดอันดับหนังดิสนีย์ Live-Action ในระยะหลัง ก็สามารถวาง Pinocchio ไว้ได้ในลำดับกลางๆ แต่หนังก็ยังสนุก และมีของดีมากพอ ที่จะให้ทุกคนเปิดชมหนังได้ โดยเฉพาะครอบครัว และเด็กๆ ที่น่าจะเอ็นจอยกับหนังอย่างแน่นอน เพราะมีความชวนตื่นตาในแง่ของ CG ตัวละครสัตว์ต่างๆอยู่พอสมควร เด็กๆจะได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากหนังเรื่องนี้ อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่หนัง Pinocchio เพียงเรื่องเดียวของปี เพราะธันวาคมนี้จะมีอีกเวอร์ชั่น โดยผู้กำกับ กิลเลอโม่ เดล โตโร่ ที่จะฉายใน Netflix ต้องมารอติตตามศึกพินอคคิโอนัดนี้ เรื่องนี้จะเจ๋งกว่ากันภาพ : DisneyPlus Hotstar Thailandชมตัวอย่าง Pinocchio สตรีมได้แล้ววันนี้ใน Disney+ Hotstar

[REVIEW] ‘Bullet Train’ โหดมันส์ฮาหนังบู๊สายป่วน รถด่วนขบวนนักฆ่า | GOSSIP GUN

11 ส.ค. 2022

[REVIEW] ‘Bullet Train’ โหดมันส์ฮาหนังบู๊สายป่วน รถด่วนขบวนนักฆ่า | GOSSIP GUN

จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อภารกิจฉกของง่ายๆ บนรถไฟหัวกระสุน กลายเป็นสนามรบสุดเดือดบนขบวนรถไฟ ที่เต็มไปด้วยนักฆ่าจากรอบโลก นี่คือพล็อตของ Bullet Train ต้นฉบับคือนิยายของญี่ปุ่น ถูกนำมาสร้างเป็นหนังแอ็กชันคอเมดี้สุดชุลมุนโดยผู้กำกับที่เลื่องชื่อสายนี้อย่าง เดวิด ลีทช์ อดีตสตันท์แมน ที่เติบโตมาเป็นผู้กำกับหนังแอ็กชันสายเดือดอย่าง John Wick, Deadpool 2 และล่าสุด Fast Furious : Hobbs Shaw ที่แต่ละเรื่อง ฉากต่อสู้คลั่งของจริง และแฝงด้วยอารมณ์ขันอย่างเจ็บแสบ โดยหนังได้พระเอกตลอดกาลอย่าง แบรด พิตต์ มารับบทนำ ซึ่งถือเป็นการกลับมาเล่นหนังแอ็กชันในรอบหลายปี หลังจาก World War Z, Fury และ Allied ซึ่งมีรายงานว่า พิตต์ แสดงฉากแอ็กชันเองถึง 95% อีกด้วยพิตต์ รับบทอดีตนักฆ่าฝีมือฉกาจ นามแฝงว่า "เลดี้บักส์" หลังจากเข้าบำบัดจิตเพื่อลืมอดีตอันน่าปวดหัว เขาต้องการรับแค่งานเบาๆ ไม่ได้อยากฆ่าคนมากมายอีกต่อไป จึงรับภารกิจง่ายๆ ด้วยการขึ้นไปฉกกระเป๋าใบหนึ่ง บนรถไฟสายด่วนที่มุ่งหน้าจากโตเกียว ไปยังเกียวโต เขาคิดว่างานนี้อย่างหมู เพราะแค่ขึ้นไป หยิบกระเป๋า แล้วลงมา ไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่านั้น แต่เขาไม่รู้เลยว่า รถไฟขบวนนี้ เต็มไปด้วยนักฆ่าจากทั่วโลกที่มีภารกิจเดียวกัน แถมยังมีนักฆ่าสายโหดอีก 2 คน ที่คอยเฝ้ากระเป๋าใบนี้อยู่ รถไฟหัวกระสุนขบวนนี้ จึงกลายเป็นสนามประลองสุดเดือด ที่มีผู้รอดตายเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่จะได้กระเป๋าใบนี้ไปครอบครองสิ่งที่ทำให้ Bullet Train บันเทิงขีดสุด คือ ความชุลมุนวุ่นวายของหนัง การที่หนังค่อยๆวางหมากไว้มากมายตอนต้นเรื่อง ปูรายละเอียดตัวละครเอาไว้ ใส่ดีเทลไว้มากมาย แล้วหยิบมายำใหญ่มโหฬารในช่วงท้าย กลายเป็นจุดเด่นที่ชัดเจนมากๆ ได้ฟีลคล้ายการดูหนัง เควนติน ทารันติโน่ อาจจะไม่คมเท่า แต่ก็ดูง่ายกว่า ผสมกับฉากแอ็กชันที่ดุเดือด ตามสไตล์ของ เดวิด ลีทช์ ที่แม้ว่าฉากต่อสู้จะถูกออกแบบมาให้ดุดัน โหดระดับเรต R แต่มันก็แฝงด้วยอารมณ์ขันที่ร้ายกาจตลอดเวลา อาทิ ฉากที่พระเอกต้องต่อสู้กับนักฆ่าอีกคน บนรถไฟขบวนเงียบ กลายเป็นฉากต่อสู้ที่พวกเขาห้ามส่งเสียงอะไรทั้งนั้น ซึ่งในหนังจะมีฉากต่อสู้แปลกๆ ที่ทั้งโหด ทั้งมันส์ และทั้งฮา ประกอบเอาไว้อยู่มากมาย ถ้าจะอธิบายอารมณ์ของหนัง ที่ใกล้เคียงสุดก็น่าจะเป็น Deadpool 2 ของลีทช์นั่นเอง (ซึ่ง แบรด พิตต์ ก็เคยไปรับเชิญในนั้นด้วย)พูดถึงแขกรับเชิญ Bullet Train เป็นหนังอีกเรื่องที่ผู้ชมจะได้เซอร์ไพรสกับกองทัพดารา ทั้งที่หนังหยิบมาโปรโมตและไม่ได้โปรโมต คนที่ชัดเจนสุดคือ แซนดร้า บูลล็อค ที่โผล่มาในบทผู้จ้างงานพระเอก (หนังเผยว่าเธอแสดงตั้งแต่ในตัวอย่างแล้ว)ซึ่งดีลนี้ เกิดจากการที่ พิตต์ และบูลล็อค ตกลงกันว่าจะมาปรากฏตัวในหนังของอีกฝ่าย เราจึงได้เห็น แบรด พิตต์ ไปโผล่ใน The Lost City ที่บูลล็อคแสดงนำเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และได้เห็นบูลล็อค มาปรากฏตัวในเรื่องนี้ นอกจากนี้หนังยังมีนักแสดงรับเชิญอีกหลายคนที่ไม่สามารถสปอยล์ได้ สำหรับตัวของ แบรด พิตต์เอง บทบาทใน Bullet Train ทำให้ผู้ชมได้เห็นเขาในโหมดที่สบายๆ ตลกหน้าตายแบบเดียวกับใน Ocean's Eleven ความชิลล์ของคาแร็คเตอร์เขา ส่งผลให้หนังดูสบายๆไปด้วยเช่นกัน และอีกสองคนที่โดดเด่นจนแทบจะขโมยซีน คือ แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน (จาก Avengers : Age of Ultron) และไบรอัน ไทรี่ เฮนรี่ (จาก Eternals) ในบทสองนักฆ่าฝาแฝดที่ไม่เหมือนกันเลย กับหน้าที่เฝ้ากระเป๋าต้นเรื่อง เป็นสองนักแสดงที่เคมีอารมณ์ขัน เข้ากับพิตต์ได้ดีเหลือเกิน หลายฉากจะเห็นพวกเขารับส่งกันอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย ทำให้หนังสมูธมากยิ่งขึ้นจุดปัญหาของ Bullet Train ที่เห็นได้ชัด อาจจะเป็นช่วงองก์แรกที่หนังใช้เวลาในการปูตัวละครค่อนข้างเยอะ บางช่วงก็ย้วยเกินจำเป็น บางซีนก็เล่าไวจัด จนแทบจะตามไม่ทัน ก่อนที่จะมาแม่นจังหวะในช่วงองก์สองและสาม ด้วยความที่ตัวละครเยอะจัด และต้องเล่าที่มาที่ไป เพื่อใช้ประโยชน์ในตอนท้ายเรื่อง หนังเลยต้องใช้เวลาตรงนี้เยอะพอสมควร และอีกจุดที่จริงๆ อาจจะไม่ใช่จุดด้อย แต่เป็นปัญหากับผู้ชมบางส่วน คือการที่หนังใช้มุกตลกหน้าตายค่อนข้างมาก (โดยเฉพาะพระเอก) ถ้าผู้ชมไม่ใช่สายมุกทางนี้ อาจจะไม่เอ็นจอยกับหลายๆซีนของหนังก็เป็นอันได้โดยรวม Bullet Train ถือเป็นหนังแอ็กชันชุลมุนที่เล่าเรื่องได้สนุก ฉากแอ็กชันทำถึง ฉากความวุ่นวายทำได้ดี และตัวละครล้วนสร้างสีสันให้กับหนังได้อย่างมาก แม้จะมีบางจุดที่อาจจะยาวไป และเล่นมุกเฉพาะทางเยอะไปหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นหนังฟอร์มใหญ่ส่งท้ายซัมเมอร์ 2022 ที่ค่อนข้างน่าพอใจเลยทีเดียว ถ้าเคยชอบผลงานชิ้นก่อนๆของ เดวิด ลีทช์ ทั้ง John Wick ภาคแรก, Deadpool ภาคสอง และ Fast Furious ภาคแยก น่าจะเพลิดเพลินกับหนังเรื่องนี้ ท่ามกลางหนังภาคต่อหรือรีเมกมากมาย นานๆจะมีหนังออริจินัลโผล่เข้ามาให้ลิ้มลองในช่วงซัมเมอร์แบบนี้ ก็สามารถลองขึ้นรถไฟขบวนป่วนสายนี้ได้ชมตัวอย่าง Bullet Train วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Sony Pictures Thailand

album

0
0.8
1